รันหัวข้อเร็ว ๆ กับคลาส Visual & Design Thinking for Well-Being โดย Chula Student Wellness
จากคลาสรวมเกือบ 8 ชั่วโมงสู่โน้ตแบบสั้นสุด ย่อยคลาส Visual & Design Thinking for Well-being โดยหน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิต (Chula Student Wellness) แบ่งเนื้อหาเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- Visual Thinking for Well-Being
- Design Thinking, A Better Way to Problem Solving
1. Visual Thinking for Well-Being
สอนโดยอาจารย์แพรว Prowpannarai จาก artipania
เริ่มต้นกล่าวถึง รูปแบบการนำเสนอ Visual Thinking 3 รูปแบบ ได้แก่
- Sketch notes บันทึกสะท้อนความคิด เก็บไว้ดูคนเดียว
- Graphic recording สื่อสารเพื่อให้คนหมู่มาก/สาธารณะเข้าใจ
- Visual facilitation บันทึกความเข้าใจร่วมกันในที่ประชุม
— — — -
อ่านเพิ่มเติม: Sketchnote, Graphic Recording, Visual Facilitation ต่างกันยังไงนะ
หลักการคิดและวาดออกมาเป็นภาพเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัย ทักษะการสะท้อนคิด (Reflection) เป็นการย่อยและตกผลึกข้อมูลก่อนจะสะท้อนออกไปแล้วย้อนกลับมาใหม่ คิดแล้ววาด วาดแล้วคิดเพื่อวาดต่อ โดยกลุ่มคนที่ใช้ทักษะนี้ได้ดีจะถูกเรียกว่า Reflective practitioner
Visual Thinking เป็นประโยชน์อย่างมากในการทำให้:
- เข้าใจตัวเอง
- เข้าใจผู้อื่น
- ผู้อื่นเข้าใจเรา
- ผู้อื่นเข้าใจกัน
— — — -
Course content
(ดูภาพปกเพื่อประกอบความเข้าใจได้เลย)
- Visual element & grammar
องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใช้วาดเขียน ซึ่งจะมีฟังก์ชันในการสอดแทรกความหมายเพื่อย่อความในตัวเองแล้วแต่เราที่เป็นผู้วาดจะสร้างสรรค์:
- เส้นปากกา (Line) แบบต่าง ๆ เช่น brush, bullet, chisel
- ตัวอักษร (Letter) ที่ใช้ สามารถแบ่งความสำคัญหรือหัวข้อได้ตามขนาด สี และความหนาบาง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เครื่องหมาย “ ” หรือ ตัวพิมพ์ใหญ่/เล็ก (ภาษาอังกฤษ) เพื่อสื่อความสำคัญและการเน้นหัวข้อ
- ลูกศร (Arrow) แบบต่าง ๆ ซึ่งแสดงความสัมพันธ์โดยไม่ต้องใช้ตัวอักษรกำกับ
- กล่องข้อความ (Container) แบบต่าง ๆ
- หมุดหมาย (Bullet) หรือสัญลักษณ์แทนหัวข้อและแบ่งประเภทหมวดหมู่
- ภาพวาด อื่น ๆ เช่น หน้าหรือตัวคน (People)
2. Visual metaphors & Visual vocabulary
คำทำให้นึกถึงภาพ และภาพทำให้นึกถึงคำ แบ่งเป็น
- Pictogram
- Ideogram
อ่านเพิ่มเติม: Difference Between Pictograms and Ideograms
3. Visual for Well-Being
(ตรงนี้ค่อนข้างมีประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและลิขสิทธิ์ของภาพ)
กล่าวโดยสรุปคือ การลองวาด Visual Thinking เป็นเครื่องมือในการช่วยรวบรวมและเรียบเรียงความคิดเพื่อจัดการอารมณ์ ความรู้สึก และปัญหารวมถึงทางแก้ไขที่แตกต่างกันไปแล้วแต่เจ้าของเนื้อหาแต่ละคน เช่น การรีวิวปี 2020 ของตัวเอง หรือการวางแผนชีวิตต่อไปในยุคโควิด-19 นับจากนี้ เป็นต้น
ดังนั้น การวาด VIsual Thinking ก็คงจะเป็นประโยชน์ในการคิด Design Thinking ในหัวข้อถัดไปนั่นแหละ
2. Design Thinking: A Better Way to Problem Solving
วิทยากรคือ คุณเมย์ลภัส บุญสิทธิ์วิจิตร (ครูมิล) ซึ่งมาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนวิธีคิดจากการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น การวนหากุญแจบ้านที่หายไปในที่เดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไปโฟกัสที่ต้นเหตุก่อนหน้า อย่างการจัดการความรู้สึกและพฤติกรรมของตัวเอง ตอนกลับบ้านมาเมื่อคืนอย่างเหนื่อยล้าและโยนของทิ้งมั่ว ๆ จนเผลอเอากุญแจบ้านไปใส่รวมกับถุงกับข้าวในตู้เย็น เป็นต้น
และถึงแม้ว่ากิจกรรมหลัก ๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเน้นให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองแลกเปลี่ยนพูดคุย ฟัง และสังเกตเรื่องราวของกันและกัน แต่ประเด็นที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ วิทยากรค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับการคิดทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างมีความเข้าอกเข้าใจ (empathy) ก่อนเสมอ
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าการนำ Visual Thinking มาใช้ ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ในแง่ของการรวบรวมและ ระบุ (Define) ข้อมูลสำคัญ ๆ ที่แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมเจ้าปัญหา ไล่เรียงลงไปถึงใต้ภูเขาน้ำแข็งอย่างความคิด ความรู้สึก และความต้องการลึก ๆ ภายในของแต่ละบุคคล ซึ่งบ่อยครั้งมักจะผสมปนเปหรือแตกหน่อซ้อนทับกันมั่วไปหมดอยู่เสมอ
กล่าวโดยสรุป ทั้งสองคลาสเป็นกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ที่เน้นให้ผู้เรียนได้ลองมีประสบการณ์จริงในชั้นเรียน เช่น ได้ลองวาดจริง ได้ลองคุยเรื่องของตัวเองแล้วมาฟังและสังเกตผู้อื่น เป็นต้น
ส่วนตัวได้ทำการบันทึกและสรุปโพสต์นี้ทันทีที่เรียนจบ จึงยังไม่ได้ตกผลึกอะไรมากนัก แต่คิดว่าเป็นความรู้พื้นฐานที่ดีที่อาจจะต้องอาศัยประสบการณ์ การเห็นคุณค่า และการนำไปใช้และต่อยอดก่อนเพื่อให้เห็นผลจริง