สรุปการอ่านตามประสาชาวบ้านหนึ่ง: The Gap— A New Heritage — Culture
ไม่แน่ใจว่าเป็นคอนเทนต์เข้าเทศกาลที่สร้างสรรค์ไหม เพราะในเชิงวิวัฒนาการแล้ว มันอาจกำลังบอกเราว่า การร่วมแรงร่วมใจเป็นแค่หนึ่งในแนวทางการเอาชีวิตรอด อุแง
อ้างอิงเนื้อหา: The Gap: The Science of What Separates Us from Other Animals 1st Edition by Thomas Suddendorf (บทที่ 8)
ผู้ที่สนใจชมสไลด์ฉบับเต็ม: click
คำเตือน
บทความนี้เป็นการสรุปเนื้อหาจากหนังสือเพียงบทเดียว โดยในเนื้อหาอาจมีการอธิบายเพิ่มเติมตามความรู้ความเข้าใจของผู้เขียนประกอบ จึงอาจมีความคลาดเคลื่อนของเนื้อหาและความหมายอันเนื่องมาจากความต่างของภาษา การให้รายละเอียดของเนื้อความ และอาจขาดการอ้างอิงหลักฐานทางวิชาการประกอบ ผู้อ่านควรมีวิจารณญาณในการอ่าน
ในเบื้องต้น เชื่อว่าทุกคนน่าจะพอเข้าใจความหมายของคำว่า วัฒนธรรม อยู่แล้วจากบทเรียนสังคมศึกษาในชั้นประถมทำนองว่า วัฒนธรรม คือ สิ่งที่ทำความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ โดยมีความพิเศษหรือคุณสมบัติต่าง ๆ ตามนี้ 1 2 3 4
แต่ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับบทความนี้ คือ การชี้ให้เห็นว่า การร่วมมือกันในกลุ่มคนก่อให้เกิดสังคมและวัฒนธรรม และการถ่ายทอดและเรียนรู้วัฒนธรรม ทำให้คนรุ่นหลังสามารถต่อยอดความสำเร็จจากคนรุ่นก่อนหน้าได้
ความคิดนามธรรมหรือเรื่องซับซ้อนจึงต้องอาศัยการทำความเข้าใจโดยมี 3 ตัวเอกสำคัญเป็นผู้ชูโรง (ดังเช่นปกติ) ดังนี้
- Theory of mind — ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไร อ่านใจ (mind reading)
- Language — การสื่อสารโดยใช้ภาษา
- Mental time travel — การสร้างเหตุการณ์จำลองในหัว (scenario-building) ข้ามเวลาด้วยตัวเอง (แอบอิงกับการมีจินตนาการหรือ Imagination กรุบๆ)
และตัวที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ Reflection หรือการสะท้อนให้ฟีดแบคนั่นเอง
(โดยปกติแล้ว ตัวที่ 4 มักจะเป็น ความทรงจำ ทั้ง short-term memory, long-term memory และ working memory)
ทีนี้ ในเชิงวิวัฒนาการแล้ว การช่วยเหลือ ร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจ (Cooperation) อาจถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการส่งทอดยีน การเอาชีวิตรอด การสืบทอดและดำรงสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต (ไอเดียคลาสสิกเดิม ๆ แหละ
Survival of the fittest) เพราะงั้นต่อให้คนที่เราช่วยเหลืออาจจะไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายสายตรงของเรา แต่ถ้าหยาดเหงื่อ ความพยายาม เวลา หรือการเสียสละชีวิตของเราจะเป็นการเพิ่มความหลากหลายของยีนในกลุ่มประชากรรุ่นต่อไปได้ เราก็จะทำ (ว่าซั่น)
อย่างไรก็ดี สำหรับมนุษย์แล้ว เรามีความสามารถในการสร้างภาพเหตุการณ์จำลอง (secnario-building) ในหัว รวมถึงมีศักยภาพในการสื่อสาร (communication) โดยใช้สื่อกลางอย่างภาษา จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เราร่วมมือกับคนที่ไม่รู้จักเพื่อผลประโยชน์ได้
ดังนั้นเรื่อง บุญคุณต้องทดแทน (return the favor) จึงเกิดขึ้น เพราะเราหวังว่าการช่วยของเราในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์กับเราในครั้งหน้า ไม่ในรูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือด้วยความบริสุทธิ์ใจ (Altruism) ก็ได้ถูกพูดถึง (เรายอมรับว่ามันมีอยู่จริงนะ) เช่น ในสถานการณ์ที่เกิดอุบัติภัยหรือเรื่องเลวร้ายขึ้น ผู้คนจากทุกสารทิศที่หลั่งไหล ระดมทุน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้วยอินเนอร์คนไทยไม่ทิ้งกันต่าง ๆ ในประเด็นถกกันว่า หรือแท้จริงแล้ว มันเป็นพฤติกรรมที่จะการันตีว่า เราเองก็จะได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน เมื่อเราประสบปัญหาในอนาคตบ้าง
นอกจากนี้ ต่อให้เป็นการช่วยเหลือในระดับบุคคล แต่ในวันใดวันหนึ่ง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม มันก็อาจจะมีญาติสนิทมิตรสหายลูกหลานสืบสันดานของเราที่จะไปเคลมคุณงามความดีของเรามาใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน
จุดนี้จึงมีอีกข้อที่ถูกยกขึ้นมาพูดคุยเล็กน้อยว่า หรือแท้จริงแล้วแนวคิดเรื่องกงเกวียนกรรมเกวียน หรือ what goes around comes around จะถูกออกแบบมาให้เราช่วยเหลือซึ่งกันและกันในลักษณะทำดีต่างตอบแทน (Reciprocal altruism) กันแน่
กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า การช่วยเหลือซึ่งกันและกันของมนุษย์ได้โน้มนำให้เกิดความศิวิไลซ์และการเจริญวัฒนะของมวลมนุษยชาติ (ใช้คำเว่อมาก) อย่าง อารยธรรม (Civilization) ในแง่ที่ว่าทำให้คนสอง สาม หรือหลาย ๆ คนจากหลาย ๆ กลุ่มได้มาระดมสรรพกำลังกันเพื่อแก้ไขปัญหาหรือสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ไม่เฉพาะแค่ทางออกของหนึ่งปัญหา แต่ยังรวมไปถึง ทางออกที่ อาจจะเป็นไปได้ ที่คนรุ่นก่อนหน้าเคยคิดไว้ แล้วสามารถนำมาใช้หรือสร้างได้จริงในยุคนี้ เช่นเดียวกัน
ข้อกังวลเพียงเล็กน้อย จึงเป็นเรื่องของ การที่โลกกลายมาเป็นโลกไร้พรมแดน (Globalization) ที่วัฒนธรรมต่างก็เชื่อมถึงกัน อาจกำลังเป็นการลดทอนความหลากหลายที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกไปหรือเปล่า
อย่างที่พอจะเดาออก เมื่อมีเรื่องดีงามอย่างความร่วมมือของมวลชนทั้งผอง ก็ต้องมี คนนิสัยไม่ดี ที่คอยจะฉกฉวยผลประโยชน์โดยไม่ลงแรงแลกมา ซึ่งโดยปกติ คนเราก็มักจะเป็นอย่างนี้แหละ ร่วมมือในงานหนึ่งแต่ก็อาจจะไปเป็นตัวถ่วงในงานอื่นก็ได้
คนที่มีพฤติกรรมการกินแรง (freeloaders) จะเป็นการบ่อนทำลายระบบความร่วมมือในสังคม ยิ่งถ้าในเชิงวิวัฒนาการ คนกลุ่มนี้จะได้เผยแพร่ยีนและขยายความถี่ยีนในประชากรมาก เพราะเค้าได้ประโยชน์โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าแรงแลกมาเลย สุดท้ายทุกคนทั้งกลุ่มก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ช่วยเหลือกันอีกแล้วในที่สุด
ทางแก้
- เราจึงต้องมีการจัดตาดู ตรวจสอบ และกำหนดบทลงโทษขึ้นมา (นักวิจัยบางท่านถึงกับตั้งข้อสันนิษฐานว่า เราอาจวิวัฒนาการกระบวนการจับผิดการโกงกันมาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว)
- มีการนินทาหรือประจาน (นึกออกมะ ซีนแก๊งค์คนดีนั่งเม้าท์นางร้ายอะ) ซึ่งก็มักจะได้ผลในสังคมเล็ก ๆ แต่ในยุคที่โลกมันกว้างขึ้น คนโกงก็อาจจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีไปทำตัวแบบเดิมในสังคมใหม่ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ก็เป็นได้
- และรวมไปถึงการสร้างสังคมที่ทำให้เราสามารถร่วมมือกันได้อย่างมีเหตุผลและต่อเนื่องยาวนาน เช่น ผ่านการมีข้อบทกฎหมาย หรือมีศีลธรรม (morality) จรรยาเป็นกรอบ
แน่นอนว่า เมื่อเราอยู่กันเป็นสังคม และมีการตั้งระบบที่ทำให้อยู่ด้วยกันได้แล้ว ลำดับต่อมาก็คือ จะทำอย่างไรให้ระบบนี้คงอยู่ต่อไปรุ่นสู่รุ่น คำตอบก็คงหนีไม่พ้นการสั่งสอนและสืบสาน อย่างการให้เด็กได้ไปจำลองชีวิตในสังคม เช่น การไปโรงเรียน เป็นต้น
การเรียนรู้ทางสังคม (Social learning)
- การลอกเลียนแบบพฤติกรรม (imitating) — เป็นธรรมชาติที่มนุษย์มีมาตั้งแต่เกิดตามศักยภาพและพัฒนาการทางสังคมและสติปัญญา
- การอบรมสั่งสอน (teaching) — สามารถสื่อสารเรื่องราวที่ซับซ้อนระหว่างคนสู่คนได้ผ่านภาษา จุดนี้เองเป็นข้อสำคัญที่ทำให้เราสามารถส่งต่อวัฒนธรรมถึงกันได้
การวิวัฒนาการทางวัฒนธรรม
- มีพื้นฐานมาจากการทำซ้ำทางพฤติกรรม หรือ มีม (meme) ซึ่งเป็นคำตรงข้าม (analogy) กับ ยีน (gene)
- มีความหลากหลาย / ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่นั้น ๆ
- ซึ่งมีผลส่งเสริมให้เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและสืบพันธุ์
- นอกจากนี้ การวิวัฒนาการจากฝั่งวัฒนธรรมยังรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าการวิวัฒนาการทางชีววิทยา
- และการวิวัฒนาการจากฝั่งวัฒนธรรมยังแนวโน้มนำไปสู่การวิวัฒนาการทางชีววิทยาให้ตามมาได้อีกด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับสัตว์อื่น รวมไปถึงญาติสุดสนิทของมนุษย์อย่าง Great apes เช่น Chimpanzees หรือ Orangutans ก็จะพบว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ก็คือ ศักยภาพทั้ง 4 ที่ทำให้มนุษย์สามารถร่วมมือกันเองในกลุ่มไปจนถึงร่วมมือกับคนแปลกหน้าได้ นอกจากนี้พฤติกรรมการลอกเลียนแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอบรมสั่งสอน ยังเป็นข้อสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถส่งต่อวัฒนธรรมถึงกันได้จากรุ่นสู่รุ่น เกิดเป็นสังคมและวัฒนธรรมที่แข็งแรง