Renfield บทเรียนการก้าวข้ามความสัมพันธ์เป็นพิษผ่านชีวิตข้ารับใช้แดรกคูลา

wittynutt
2 min readJun 4, 2023

--

*มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ของ Renfield 2023*

“โรเบิร์ต มอนทาคิว เรนฟิลด์” เป็นหนุ่มวัยทำงานทั่วไป เป็นสามีและพ่อของลูกสาววัย 5 ขวบที่ต้องการสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว การประกอบอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในสังคมที่มีการแข่งขันสูงบีบบังคับให้เขาพยายามหาลู่ทางเพื่อความร่ำรวย ไม่ว่าจะด้วยคำลวงของปีศาจ หรือความโลภของตัวเขาเอง สุดท้ายเรนฟิลด์ก็ตัดสินใจละทิ้งครอบครัว และออกติดตามผีดูดเลือดอย่าง “เคานต์แดรกคูลา” ในฐานะผู้ช่วยส่วนตัว (เรียก ข้ารับใช้ จะเหมาะสมกว่า)

หน้าที่ของเรนฟิลด์นอกจากดูแลความเป็นอยู่ของเจ้านาย ตั้งแต่เอาผ้าคลุมไปส่งซักแห้งและจัดหาที่อยู่ ยังต้องล่าเหยื่อมาเป็นอาหารให้แดรกคูลา เขาต้องพาเจ้านายหนีการไล่ล่าของนักล่า นักบุญ และศาสนจักรไปทั่วโลกด้วยทุนทรัพย์ที่ร่อยหรอสวนทางกับรายการข้อจำกัดที่ต้องคอยระมัดระวัง และเมื่อเวลาล่วงเลยนานเข้าประกอบกับผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมากมาย ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในภาวะความสัมพันธ์เป็นพิษ* (toxic relationship) ระหว่างตนเองกับเจ้านาย

เมื่อย้ายมานิวออร์ลีนส์ เขาได้เข้ากลุ่มจิตบำบัด และได้บังเอิญช่วยชีวิตประชาชนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ “รีเบกกา ควินซี่” จากกลุ่มมาเฟีย “โลโบ” และเธอนี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงและเห็นคุณค่าในตัวเอง รวมถึงพยายามต่อต้านเคาต์แดรกคูลา

*ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ คือ ความสัมพันธ์ที่ไม่สร้างผลดีให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรืออาจจะทั้งสองฝ่าย เกิดภาวะบั่นทอน เบื่อหน่าย และอาจจะร้ายแรงไปจนถึงการทำร้ายกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ความอึดอัดใจของลูกจ้างที่ทั้งบริษัทมีแค่เขาและเจ้านาย

หากมองในแง่การทำงาน ความสัมพันธ์ของเรนฟิลด์และเคานต์แดรกคูลาอาจกล่าวได้ว่าเป็น Toxic relationship อย่างที่บอก เพราะใน องค์กรขนาดย่อย (micro business) ที่มีพนักงานเพียง 2 คนคือเจ้านายและลูกจ้าง ถึงแม้ว่าค่าตอบแทนการทำงานจะน่าสนใจมาก เรนฟิลด์สามารถบริหารจัดการทรัพย์สมบัติของแดรกคูลาได้อย่างเบ็ดเสร็จ มีพลังเหนือมนุษย์โดยที่ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้คล้ายคนทั่วไป อีกทั้งเลือดของเคานต์แดรกคูลายังมีพลังรักษาชั้นยอดจนกล่าวได้ว่าเป็นสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลและประกันอุบัติเหตุชั้นเยี่ยม

แต่สิ่งที่เรนฟิลด์ต้องเผชิญ คือ การทำงานแบบไม่มีวันหยุดทั้งกลางวันและกลางคืน ต้องตอบรับการเรียกจากเจ้านายทุกครั้งโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข อีกทั้งยังเจ็บช้ำน้ำใจจากการถูกทำร้ายร่างกายและการคุกคามทางจิตวิทยา (psychological abuse) ถูกปั่นหัว (gaslighting) และถูกครอบงำ (manipulation)

สิ่งเหล่านี้เลวร้ายกว่าการถูกสะกดด้วยมนต์คาถา เพราะมันเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าเรนฟิลด์ยอมติดตามรับใช้เคาต์แดรกคูลาตลอดมาด้วยสติสัมปชัญญะเต็มเปี่ยม

เขารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรและสิ่งเหล่านั้นจะส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร นั่นจึงทำให้ตลอดมา เขายังต้องเผชิญกับความรู้สึกผิดที่ต้องพาคนมากมายมาสังเวลยชีวิตให้เคาต์แดรกคูลา ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยมีโอกาสกำจัดปีศาจตัวนี้ได้ แต่เขาก็เลือกรับใช้เจ้านายเพราะถูกทำให้เชื่อว่า เจ้านายจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างเขาท่ามกลางความโดดเดี่ยวตลอดกาล

“เรนฟิลด์ จากนี้เลือดทุกหยดที่แดรกคูลาดื่มจะเป็นบาปของเจ้า”

- คำพูดสุดท้ายของนักบุญคนหนึ่งก่อนที่จะถูกแดรกคูลาจบชีวิต

ในแง่หนึ่ง สิ่งเหล่านี้คล้ายเป็นภาพสะท้อนชีวิตคนวัยทำงานในยุคปัจจุบันเช่นกัน สังคมที่กดดันและเหลื่อมล้ำสูงบีบคั้นให้คนวัยทำงานต้องขวนขวายหาความก้าวหน้า บางครั้งจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ขัดแย้งกับคุณธรรมในใจเพื่อแลกกับเงินทองและอำนาจ และบ่อยครั้ง เราอาจต้องเผชิญกับความรู้สึกผิด สำนึกเสียใจกับสิ่งที่ตนเองทำ แต่ก็ต้องพยายามปลอบใจตัวเอง หาเหตุผลและความชอบธรรมมาเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองทำว่ามันถูกแล้ว ดีแล้วในสถานการณ์นั้น เพื่อให้ยังสามารถประคับประคองจิตใจของตัวเองให้มีชีวิตในวันข้างหน้าต่อไปได้ ความขัดแย้งภายในจิตใจ (cognitive dissonance) และกลไกป้องกันตัวเอง (defense mechanism) เหล่านี้ส่งผลให้ตัวละครเรนฟิลด์มีลักษณะขาดความเคารพในตัวเอง มองว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และกลัวที่จะสานสัมพันธ์กับคนอื่น ดังเช่นที่เขานิยามตัวเขาเองว่าเป็น “เปลือกนอกที่ภายในกลวงเปล่า”

สิ่งที่เปลี่ยนเขาไม่ใช่ความรัก แต่เป็น “ความช่วยเหลือ” และ “แบบอย่าง” ที่ถูกต้อง

เรนฟิลด์ตัดสินใจเข้ารับการบำบัดแบบกลุ่มตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เขามาถึงนิวออร์ลีนส์โดยไม่ยอมเล่าความทุกข์ใจของตัวเองให้ใครได้รู้เลย เขารับฟังเรื่องราวของผู้หญิงที่ถูกแฟนทำร้ายร่างกาย ชายที่มีเจ้านายชอบเอาเปรียบ และคนอื่นที่ต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษเช่นเดียวกับเขา ถึงแม้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะดูไม่อาจเชื่อมโยงกับเรนฟิลด์ได้ (ยกเว้นการที่เขามาสืบว่าควรจะล่าคนเลวคนไหนไปเป็นเหยื่อให้แดรกคูลาดี เขาจะได้ไม่รู้สึกผิดมาก และไม่ถูกเจ้านายเล่นงาน) แต่คุณสมบัติที่ทุกคนในที่นั่นมีร่วมกัน คือพวกเขาขาดความยอมรับนับถือในตัวเอง (self-respect) และมอบอำนาจให้คนอื่นมากำหนดชีวิตของพวกเขา เมื่ออ้างอิงจากทฤษฎีการรับมือกับความเศร้า 7 ระยะ โดยชาลีย์ แฮมป์สัน จะพบว่า แม้คนกลุ่มนี้จะผ่านความรู้สึกเสียใจ โกรธ และโศกเศร้ามาแล้ว แต่พวกเขายังไม่สามารถแก้ไขปัญหา สร้างการเปลี่ยนแปลง และก้าวผ่านเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ จนกลายเป็นความทุกข์ที่วนลูปที่ทำให้ต้องมานั่งบำบัดกันเช่นนี้ทุกสัปดาห์ สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีเพียงการรับฟังเรื่องราวหดหู่ของกันและกัน และเปลี่ยนมันเป็นเรื่องตลกร้ายเท่านั้น

ทั้งนี้ จุดที่เปลี่ยนความรู้สึกของเรนฟิลด์ไปอย่างชัดเจน คือการที่เขาได้ลองเล่าเรื่องของตัวเองออกมาและรับคำแนะนำอย่างจริงจังจากผู้นำกิจกรรมกลุ่ม เขาได้รับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนในกิจกรรมกลุ่มบำบัด และที่สำคัญคือ เขาได้พบกับตำรวจหญิงอย่างรีเบกกาที่กล้าเผชิญหน้าท้าชนกับความอยุติธรรมและไม่ยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเอง และเพราะการกระทำนั้นของเธอเป็นการตัดสินใจที่เขาอยากทำมาโดยตลอดแต่ไม่เคยกล้าพอ จึงทำให้เขามองเธอเป็น “ไอดอล” หรือแบบอย่าง (role-model) และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินลุกขึ้นมาแปลงโฉมตัวเอง ย้ายที่อยู่ใหม่ และหาทางปฏิเสธการรับใช้แดรกคูลา

การมีสิ่งแวดล้อมเชิงบวกและปัจจัยสนับสนุนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ เพราะแต่เดิมพฤติกรรมที่คนเราแสดงออกมาก็เป็นผลมาจากทั้ง 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยทางชีววิทยา เช่น ร่างกาย สารพันธุกรรม ปัจจัยด้านจิตวิทยา อาการทางจิตใจ และปัจจัยทางสังคม หรือการเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมภายนอก ประกอบกัน การที่เรนฟิลด์ตัดสินใจพาตัวเองเข้าไปในวงสังคมที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับตัวเอง และเริ่ม “ก้าวแรก” โดยการเล่าเรื่องของตัวเอง และได้รับแรงส่งเสริมเชิงบวก (positive reinforcement) จากคนรอบข้าง รวมถึงการได้รับแรงกระตุ้นจากบุคคลต้นแบบอย่างรีเบกกาจึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เขากล้าที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งภายในจิตใจของตนเองและเสื้อผ้ารวมถึงที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก

จุดที่น่าสนใจที่สุดในการก้าวผ่านความสัมพันธ์เป็นพิษระหว่างเคาต์แดรกคูลากับเรนฟิลด์ คือ แม้ว่าเรนฟิลด์จะแสดงเจตจำนงที่จะไม่รับใช้แดรกคูลาอีกต่อไป เขาก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะยุติความสัมพันธ์กับแดรกคูลาอย่างเด็ดขาด มิหนำซ้ำยังต้องสูญเสียคนรอบข้างที่ห่วงใยและเป็นชนวนให้แดรกคูลาหันไปจับมือกับกลุ่มมาเฟียโลโบเพื่อทำลายโลกและทุกสิ่งที่เรนฟิลด์รัก แต่ด้วยความช่วยเหลือและกำลังใจจากรีเบกกา เรนฟิลด์จึงสามารถลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความกลัว ตัดขาดจากแดรกคูลา และช่วยเหลือทุกคนไว้ได้สำเร็จ

“กำลังใจ” จากคนที่ห่วงใย สำคัญที่สุด

ถึงแม้ว่าในแง่หนึ่ง ความสัมพันธ์ของเรนฟิลด์และรีเบกกาจะเป็นการต่างตอบแทนผลประโยชน์และร่วมมือกันเพื่อเอาชีวิตรอดในช่วงเวลาหนึ่ง กล่าวคือ ในขณะที่เรนฟิลด์พยายามก้าวข้ามชีวิตที่ผูกติดกับแดรกคูลา รีเบกกาเองก็พยายามหาหลักฐานมาโค่นล่มเครือข่ายอิทธิพลของกลุ่มโลโบ เมื่อศัตรูของทั้งคู่มาร่วมมือกันเพื่อวางแผนครองโลก ทั้งคู่จึงจำเป็นต้องร่วมกันเพื่อขัดขวางแดรกคูลาและช่วยเหลือพี่สาวของรีเบกกาที่ถูกจับเป็นตัวประกัน แต่ตลอดการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่

จะเห็นว่าพวกเขาต่างเข้ามาเป็นแรงบันดาลใจ เป็นที่ปรึกษา และเป็นคนที่ช่วยเยียวบาดแผลทางจิตใจของกันและกัน เกิดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่ายที่ก่อให้เกิดการเติบโตงอกงามของบุคคล (mutual growth-promoting in reciprocal relationship) ถ้าไม่มีคำแนะนำของเรนฟิลด์ รีเบกกาอาจไม่ยอมทำความเข้าใจและคืนดีกับพี่สาว รวมถึงหมดไฟในการต่อสู้เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับผู้เป็นพ่อที่เสียชีวิตไป เช่นเดียวกันกับที่เรนฟิลด์เองก็ตัดสินใจมีชีวิตต่อไปเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่ตกอยู่ในความสัมพันธ์เป็นพิษต่อไปโดยมีรีเบกกาคอยสนับสนุนอยู่เคียงข้าง

ไม่ว่าคนเขียนบท ผู้กำกับ และนักแสดงจะตั้งใจออกแบบให้ตัวละครทั้งคู่ลงเอยด้วยกันในฐานะคู่รักหรือไม่ แต่ความสัมพันธ์นี้ก็จัดว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ดี (healthy relationship) ซึ่งทั้งคู่ไม่เคยได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน และเมื่อทั้งคู่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปด้วยความเมตตากรุณา (compassion) ความเข้าอกเข้าใจ (empathy) และความบริสุทธิ์ใจ (altruism) ความตั้งใจดีเหล่านี้จะเป็นพลังบวกที่ส่งเสริมให้สังคมรอบข้างดีขึ้นได้

หากมีโอกาสรับชมภาพยนต์ฉบับเต็มหรือไปอ่านคำคำวิจารณ์ตามที่ต่าง ๆ ภาพยนต์เรื่องนี้อาจได้รับกระแสตอบรับไม่ดีนักด้วยพลอตและการดำเนินเรื่องที่มีช่องโหว่หลายจุด แต่หากมองเรื่องราวชีวิตของ “เรนฟิลด์” ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เราจะเข้าใจถึงสารสื่อผู้สร้างต้องการจะสื่อ แม้เปลือกนอกที่เคลือบไว้ด้วยความตลก (ที่บางมุกก็รู้สึกเฉย ๆ) ฉากบู๊และความสยองขวัญ (ที่ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกว่าพร่ำเพรื่อเกินไป) แต่ก็สอดแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับการก้าวผ่านภาวะความสัมพันธ์เป็นพิษและให้ความสำคัญกับการสนับสนุนคนรอบข้างเชิงบวก เพื่อให้คนในสังคมเข้าใจและยอมรับความบกพร่องและร่วมกันแก้ไขและขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า

ขอบคุณภาพจาก https://www.rendyreviews.com/movie-reviews/renfield-review

ที่มาของข้อมูล

--

--

wittynutt
wittynutt

Written by wittynutt

Greedy Learner | Spectator | Hedonist

No responses yet