— — — —
คำเตือน:
บทความนี้อาจมีผลกระทบกับความคิด ความรู้สึก หรือภาวะทางจิตใจ หากท่านมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะความเครียดทางจิตใจได้ง่าย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและรับสาร
— — — -
อยู่ๆก็มีเรื่องราวให้นอนไม่หลับ ต้องยอมรับเลยว่าบทความนี้เกิดขึ้นจากความเหงาเศร้าและว้าเหว่ของเพื่อนร่วมชั้นทั้งสี่ที่นัดมาประชุมกันทุกวันจันทร์และเสาร์ ผลัดกันเล่าผลัดกันแชร์เกี่ยวกับเรื่องที่ไปเรียนไปรู้มาระหว่างสัปดาห์ และหน้าที่นำเรื่องคุยในครั้งนี้ตกเป็นของ wittynutt
จะมีคอนเทนต์แห่งความขัดแย้งอะไรที่จะพอเหมาะพอเจาะกับเดือนแห่งการเริ่มต้นใหม่อย่างมกราคมไปมากกว่าเรื่อง “ความตาย” ได้อีก และนี่ช่างพอเหมาะพอดีกับการที่ตัวเราก็ได้ไปเข้าร่วมงาน “Death Tour 2020” โปรแกรมทัวร์ความตาย ปี 2020 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วเสียนี่กระไร ไม่รอช้า ค้นโน้ตที่จดไว้โดยไว้ ทำการบ้านมาลวก ๆ สักหนึ่ง แล้วมานั่งคุยกันกับสาว ๆ ตอนสองทุ่มวันเสาร์ดีกว่า
สองทุ่มวันเสาร์ สามสาว ปิงปิง แพรว และเอิน มาตรงเวลาอย่างยอดเยี่ยม เราเริ่มจากการย้อนนึกไปถึงสิ่งที่เราได้พูดคุยกันไปในชั่วโมงก่อนหน้าซึ่งแพรวเป็นคนมาแชร์เรื่องเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมาย การจัดลำดับความสำคัญ การระบุสถานการณ์ปัจจุบัน และเปลี่ยนปัญหาให้มาเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้
ดูเหมือนว่าทุกคนต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยก่อนที่จะสามารถนึกย้อนกลับไปและสรุปถ้อยคำออกมาได้ นั่นจึงเกิดเป็นคำถามต่อมาว่า แท้ที่จริงแล้วเวลา 5 วันที่เราไม่ได้เจอกันมันนานไหม แล้วถ้ามันเป็นห้าเดือน ห้าปี หรือห้าสิบปีล่ะ เวลาแค่ไหนถึงจะเรียกว่านาน
.
แพรว: ยาวนานหรือไม่ ต้องมีเกณฑ์มาเปรียบเทียบประกอบกัน
ปิงปิง: ยาวนานหรือไม่ ขึ้นกับเรื่องราวชีวิตและความรู้สึกของแต่ละคน
เอิน: เห็นด้วยกับเอิน และการทบทวนความทรงจำอาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยย่อความห่างหรือสร้างช่องว่างของเวลาขึ้นมาได้ในความรู้สึกของแต่ละคน
.
ถ้าอย่างนั้นเราก็อาจจะพอพูดให้มันสวย ๆ ได้ว่า แนวทางการใช้ชีวิตจะเป็นตัวกำหนดมุมมองที่เรามีต่อกาลเวลา แล้วหากเป็นเช่นนั้น เวลาสั้น ๆ นับจากนี้ ก็คงเป็นอีกหนึ่งห้วงเวลาที่น่าสนใจว่ามันจะยาวหรือสั้นแค่ไหน
ทำไมปกติแล้ว เราถึงไม่คุยเรื่องความตาย?
ปิงปิง: เพราะเราหวังว่าช่วงเวลาที่ใช้กับคนที่เราใส่ใจจะเป็นไปด้วยความสุข เพราะเราต่างก็กลัวความตาย กลัวการพรากจากสิ่งที่รัก และกลัวการสูญเสีย เราจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพูดถึงมัน แล้วก็ยังมีหัวข้ออีกตั้งมากที่เราสามารถหยิบยกมาคุยกันได้บนโต๊ะอาหาร
เอิน: ความตายเป็นเรื่องปกติ ถ้าบทสนทนามันพาเราลงไปลึกพอ เราก็น่าจะคุยเรื่องนี้กันได้
แพรว: เรื่องความตายเป็นหัวข้อที่จำเป็นต้องถูกยกขึ้นมาพูดและต้องเกิดการวางแผนขึ้น และแพรวก็เป็นคนหนึ่งที่พร้อมจะเป็นคนเริ่มบทสนทนาในเรื่องนี้ “เพื่อน ๆ เรามาคุยเรื่องการวางแผนความตายกันเถอะ!”
.
เราสี่คนเห็นตรงกันว่า ถึงจุดหนึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องถูกยกขึ้นมา และไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงหรือเลือกที่จะเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาเสียเอง พวกเราต่างก็รู้ดีว่า เราทำไปเพราะว่าเราใส่ใจในความรู้สึกของคนที่เรารักและรักเรา เราเลี่ยงที่จะพูด เพื่อไม่ให้เกิดความไม่สบายใจ แต่ในขณะเดียวกันเราก็อาจจำเป็นต้องพูดเพื่อสร้างความเข้าใจ เพื่อว่าถึงวันหนึ่ง การตายของเราจะไม่เป็นภาระการตัดสินใจของคนข้างหลัง เพราะเราได้พูดคุยเรื่องนี้กันเอาไว้แล้ว
ถ้าอย่างงั้นแล้ว คนอื่นเค้าคุยเรื่องความตายยังไงกัน?
จากการทำการบ้านลวก ๆ ก่อนมาเข้าวงสนทนา พบว่ามีคำที่น่าสนใจอยู่คำสองคำ เช่น “มรณศึกษา (Death Education)” และ “การตายอย่างมีคุณภาพ (Beautiful Death)” ซึ่งทั้งสองคำนี้ต่างก็เกี่ยวพันกับการศึกษาเรื่องความตายทั้งสิ้น แม้แต่ในประเทศไทยเอง ก็ยังมีบางมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนวิชาคล้าย ๆ กันนี้ในฐานะวิชาเลือกเสรี โดยก็มีการอ้างอิงการสอนจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในต่างประเทศซึ่งมีการสอนหัวข้อเหล่านี้กันมาอย่างแพร่หลายและต่อเนื่องยาวนาน ทั้งในมุมมองจิตวิทยา สังคมวิทยา วิทยาศาสตร์สุขภาพ ปรัชญา และศึกษาศาสตร์
แล้วถ้าอย่างนั้น มีประเด็นไหนบ้างที่น่าสนใจศึกษาเกี่ยวกับความตาย? เรามาลองแกล้ง ๆ คิดกันเล่น ๆ ดูสักคนละหัวข้อสองหัวข้อละกัน!
แพรว: ความตายของบุคคลสำคัญต่อการเกิดแรงขับเคลื่อนทางสังคม แน่นอนว่าการตายของบุคคลหนึ่งย่อมส่งผลกระทบตามมา จะทำอย่างไรให้ความตายของบุคคลนั้น ๆ นำมาซึ่งผลกระทบในทางที่ดี มากกว่าการนำไปสู่เพียงน้ำตาและความเศร้าเสียใจของคนที่ยังอยู่
เอิน: การเตรียมความพร้อมก่อนฆ่าตัวตาย อะไรคือสาเหตุและปัจจัยที่คนเราเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองลง ถ้ามองว่าเขาคิดมาดีแล้ว มีปัจจัยอะไรบ้างที่เขาต้องพิจารณาก่อนทำอย่างนั้น มีพฤติกรรมหรือทัศนคติแบบใดบ้างที่จะนำไปสู่ความตาย
ปิงปิง: การศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ภาวะเศร้าโศก (grief) ภาวะซึมเศร้า (depression) การมีความหวัง (sense of hope) ของคนที่ยังอยู่ และการยอมรับความตายที่ใกล้มาถึงในกลุ่มผู้สูงอายุ
เราอาจจะพูดอย่างง่ายว่า การศึกษาเรื่องความตายเป็นเรื่องสำคัญ อย่างน้อยที่สุดในเชิงชีวิตหรือจิตวิทยา หากว่าเราไม่ศึกษาเรื่องความตาย มันก็คงเหมือนเป็นการละเลยส่วนที่ขาดหายไปของการศึกษาชีวิต เพราะความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และชีวิตก็เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกับความตาย
การตายอย่างมีคุณภาพ แท้จริงแล้วจึงอาจไม่ใช่แค่การจัดงานศพที่สวยเริ่ด ของชำรวยสุดปังแสนเก๋ หรือมีจำนวนพวงหรีดมากมายจากคนนั้นคนนี้ในงานเยอะ ๆ แต่คือการใช้ชีวิตได้อย่างที่ตัวเองรู้สึกคุ้มค่า ไม่เสียดายเวลาหากว่าเราต้องจากไป และมีการการเตรียมพร้อมสำหรับความตาย ไม่เฉพาะแค่การยอมรับและจัดการความรู้สึกของตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเตรียมความพร้อมและจัดการสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนรอบข้างที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ข้างหลัง
มาถึงจุดนี้แล้วก็เลยอยากจะขอพูดถึงสิ่งที่ได้จากการฟังบรรยายในช่วงบ่ายของงาน “Death Tour 2020” โปรแกรมทัวร์ความตาย ปี 2020 ให้เพื่อน ๆ นั่งฟังนั่งหาวสักหน่อย แต่มันกลับน่าสนใจดีที่เพื่อน ๆ ตื่นเต้นกับมุมมองความตายในมิติต่าง ๆ นอกเหนือไปจากความเป็นปัจเจกในแต่ละบุคคล เพราะแท้จริงแล้วความตายยังยึดโยงเกี่ยวข้องกับระบบต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ กฎหมาย การสาธารณสุข เศรษฐกิจ และการเมืองอีกด้วย
เราพูดคุยกันถึงกฎหมายมรดกและการสืบสันดาน การบันทึกความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต (Living Will) หรือหนังสือแสดงจำนงไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุข ตามมาตรา 12 พรบ. สุขภาพแห่งชาติ 2550 การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative Care) ในระยะสุดท้าย เราแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการุณยฆาต และมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและความตายของคนไทยในยุคที่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบยิ่งยวดซึ่งหากเราไม่มีการวางแผนชีวิตและความตายที่ดี นั่นย่อมหมายถึงเป็นการผลักภาระให้คนที่อยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงรัฐบาลและงบประมาณประเทศในการรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและก่อนและหลังเสียชีวิตของเรา
สุดท้ายนี้ ไหนลองมาเล่นเกมถามตอบกันหน่อยซิ!
ความกังวลชีวิตในช่วงนี้
เอิน: กังวลเกี่ยวกับอนาคต เพราะมันเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เรายังไม่รู้ และควบคุมไม่ได้
แพรว: ถึงแม้จะสามารถจัดการตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เรื่องหนักใจและภาระของคนที่ใส่ใจแต่เราอาจจะยังไม่รู้ และเพราะไม่รู้จึงกังวล
ปิงปิง: กังวลเกี่ยวกับอดีต เฝ้าถามตัวเองว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ จะกลับไปแก้ไขอะไร กังวลเกี่ยวกับปัจจุบัน จะทำอย่างไรถึงจะจัดการกับเรื่องตอนนี้ได้ดี กังวลเกี่ยวกับอนาคต เพราะนี่เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
.
สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากทำให้ได้ก่อนตาย
แพรว: การวางแผนและเตรียมความพร้อมให้แน่ใจว่าเมื่อตัวเองจากไปแล้ว คนที่สนิท คนที่รัก และคนที่ตัวเองใส่ใจจะสามารถผ่านช่วงเวลาเศร้าเสียใจได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน อยากทำให้มั่นใจว่าการจากไปของตัวเองจะไม่ทำให้ครอบครัวหรือคนที่รักต้องลำบาก และอยากมั่นใจว่าการจากไปของตัวเองจะไม่เป็นภาระของผู้อื่น
เอิน: อยากจะแบ่งปันหรือทำอะไรให้กับสังคม อยากจะขอบคุณและตอบแทนที่อย่างน้อยที่สุดตัวเองได้เกิดมาและได้ใช้ทรัพยากรของโลกใบนี้
ปิงปิง: คงต้องย้อนกลับไปว่าทำไมตัวเองถึงกลัวความตาย นั่นเป็นเพราะมองตัวเองว่าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในใจ ในฐานะคนคนหนึ่งก็อยากจะเรียนให้จบและได้ทำงานที่ดี และในฐานะของลูกสาวก็อยากจะดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้ดี ซึ่งนั่นรวมไปถึงตอนท่านแก่ นี่จึงเหมือนเป็นข้อบังคับว่าเราจะตายก่อนท่านไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบตรงนั้น และตัวเองก็จริงจังกับเรื่องนี้
.
คำถามก่อนหน้าดูหนักมากเลย ถ้าอย่างนั้นขอถามอะไรตลก ๆ บ้างดีกว่า คำถามนี้เคยถูกถามในวงสนทนาของงานที่ไปเข้าร่วมมา คิดว่าอยากให้อะไรเป็นของชำร่วยหรือของที่แจกในงานศพของตัวเอง
มีบางคนบอกว่าอยากแจกของที่บ่งบอกถึงความชื่นชอบศิลปินของตัวเอง เพื่อที่ว่านอกจากจะเป็นความสุขของเราแล้ว ยังเป็นการขยายฐานแฟนคลับและแสดงความรักให้กับศิลปินของเราเป็นครั้งสุดท้าย
บางคนบอกว่าอยากให้เป็นต้นไม้ เพราะของงานศพส่วนใหญ่คนมักไม่กล้าใช้และปล่อยให้มันผุพังไปอย่างน่าเสียดาย แต่ต้นไม้จะยังคงเติบใหญ่ขึ้นแม้เวลามันผ่านไป
น่าสนใจที่เพื่อน ๆ ให้ความสำคัญกับการทิ้งความทรงจำและความรู้สึกดี ๆ ไว้ให้คนที่รักคิดถึงมากกว่าวัตถุหรือความยิ่งใหญ่ของงาน บางทีเราอาจไม่ได้อยากให้คนที่มางานของเราต้องแต่งชุดขาวดำหรือต้องมีรูปหน้าเราในงานก็ได้ และในเมื่อเราก็ไม่ได้อยู่ดูมันแล้ว ก็อยากจะขอให้งานนี้เป็นโอกาสที่ทุกคนที่มางานได้ทำตัวตามสบายในบรรยากศที่ไม่อึกอัด อย่างน้อยคนจัดงานก็ไม่ควรต้องมาลำบากกับการเตรียมงานของเรา เราพูดคุยถึงการบริจาคร่างกายเพื่อที่ว่าอย่างน้อยที่สุดเมื่อเราจากไป เราก็ยังได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง และมันก็อาจจะยิ่งดีขึ้นไปอีกถ้าคนที่เรารัก คนที่รักเรา และคนที่ได้มางานจะได้ใช้เวลาตรงนี้ในการใคร่ครวญและทบทวนชีวิตของตัวเอง
.
แพรว: อยากจะแจก clound accout หรือเครื่องมือตรวจวัด (tracker) เกี่ยวกับการสำรวจตนเอง (self-monitoring) ให้กับผู้ที่มาร่วมงาน ในเมื่อวันนี้เขาได้มาเห็นจุดจบของชีวิตเราที่จากไป ก็อยากจะให้เขาได้มีโอกาสทบทวนชีวิตของตัวเอง
.
คำถามและกิจกรรมสุดท้ายนี้ อยากขอให้เพื่อน ๆ ลองใช้เวลาคิดดูซิว่า อยากจะให้คนบนโลกจดจำตัวเราเมื่อเราจากไปแล้วแบบไหน ผ่านการลองเขียนคำไว้อาลัยในงานศพของตัวเองดู
แม้กระทั่งในวันที่เรานั่งคุยกันอยู่นี้ ในกลุ่มของเราก็มีคนได้รับข่าวว่ามีคนที่รู้จักเสียชีวิต ส่วนตัวเราเองก็เพิ่งไปร่วมงานศพของน้องที่รู้จักมา ในเมื่อชีวิตมันเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอน และเราต่างก็รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น เราจึงอยากให้เพื่อน ๆ ลองกลับไปคิดทบทวนดูว่าเราจะทำอย่างไรต่อจากนี้ และหากว่าจะต้องเตรียมการอะไรเพื่อตัวเองหรือแสดงเจตจำนงไว้ ก็ให้ลองเริ่มศึกษาดู (เช่น การเขียนสมุดเบาใจ หรือวิธีการเขียนพินัยกรรมเอาไว้ เป็นต้น)
.
บทความนี้เป็นบทความแรกที่ wittynutt เขียนขึ้น และเพราะมันคือการเขียนเรื่องของความตายในเดือนแห่งการเริ่มต้นปีใหม่ และเพราะมันคือการเขียนเรื่องที่แม้แต่เราเองก็อาจไม่เคยใส่ใจและละเลยมาโดยตลอด (และก็ไม่ได้เป็นคนที่ขยันขวนขวายไปหาอ่านขนาดนั้น) มันก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การพูดคุยครั้งนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองที่ทั้งสดใหม่และไร้เดียงสา แต่เราเชื่อว่านับจากนี้ไป ทุกคนจะตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและความตายมากยิ่งขึ้น
— — — -
เพราะความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
ความตายเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้
และความตายเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญล่วงหน้าด้วย
— — — -
ขอขอบคุณ
Death Talk ความตายและชีวิต
Facebook: @DeathTalkative
IG: @deathtalk2020
#Deathtalkความตายและชีวิต #DeathTour2020
.
ความหลอนจากคุณพี่ท่านหนึ่งในงานนั้นที่ขาย “สมุดเบาใจ” ไม่หยุดเลย!
Peaceful Death
Facebook: @peacefuldeath2011
https://www.youtube.com/c/PeacefulDeath
— — — -
หาอ่านต่อ:
https://thestandard.co/death-tour-2020/
https://thematter.co/social/what-is-death-education/12989
https://www.everydaymarketing.co/pr/death-tour-event-2020/
https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2020/10/LongevityEconomics.pdf
https://www.nationalhealth.or.th/node/2687
http://www.thaihealthconsumer.org/news/good-death-story/
https://tdri.or.th/2015/02/palliative-care/
https://tdri.or.th/2019/04/attitude-toward-palliative-care-in-thailand/